พระเจ้ารู้อนาคตของฉัน

2014-04-01 / นางฟ้า(天使) / พระเจ้ารู้อนาคตของฉัน / ไทย 

พระเจ้ารู้อนาคตของฉัน
 เสียงที่ฉันคุ้นเคยในทุกเช้าก็ดังขึ้น..ตื่นได้แล้วลูก ได้เวลาเอาควายออกไปทุ่งนาแล้วนะ! นั่นคือเสียงของแม่ฉัน แม่จะเรียกฉันและน้องสาวตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อให้เราเอาควายไปทุ่งนา ระยะทางจากบ้านไปทุ่งนาก็ประมาณ 1 กิโลมตร เพราะฉะนั้นเราต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดถึงจะสามารถกลับมาทันโรงเรียน บางครั้งฉันกับน้องสาวก็ผลัดกันนั่งบนหลังควาย ความรู้สึกตอนที่อยู่บนหลังควายมันทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย และแต่ละก้าวของมัน ทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความมั่นคง แม้กระทั่งบางครั้งฉันสามารถหลับบนหลังของมันได้อย่างสบายใจ เสียงเกราะกระดิ่งบนคอของมันก็เหมือนกับเสียงดนตรีอันไพเราะอย่างไงอย่างงั้น มันทำให้เราเพลิดเพลินและเดินไปตามถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยท้องนา และถ้าหน้าฝนคูนาก็จะเต็มไปด้วยน้ำ เราก็จะได้ยินเสียงกบ เสียงเขียดร้อง โอ๊บ..โอ๊บ..แอ๊บ..แอ๊บ..ดังกังวาลไปหมด 
     พอหลังเลิกเรียนทุ่งนาคือจุดมุ่งหมายปลายทางของฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะยังอยู่ในวัยเด็กก็ตาม แต่ฉันก็ต้องช่วยงานพ่อแม่เกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะหุงหาอาหาร ช่วยพ่อไถนายามหน้านา เมื่อสามสิบปีก่อนยังใช้ควายไถนาอยู่เลย พอหลังเสร็จจากฤดูทำนาก็ทำไร่ต่อ เหมือนกับหนึ่งปี 365 วันไม่มีวันหยุดพัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันเหนื่อยล้าหรือท้อแท้แต่อย่างใด กลับทำให้ฉันมีความอดทนและเข้มเข็งมากขึ้น 
    วันหนึ่งคุณครูประจำชั้นที่โรงเรียนถามเด็กนักเรียนทุกคนว่า พวกเธอโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร ห้องเรียนของเรามีนักเรียนประมาณ 40 คน เพื่อนของฉันบางคนก็ตอบว่า หนูอยากเป็นพยาบาลค่ะ จะได้ช่วยดูแลคนไข้เมื่อยามที่พวกเขาไม่สบาย บางคนก็บอกว่าอยากเป็นตำรวจ จะได้ปกป้องประชาชน เป็นทหารบ้าง แล้วคุณครูก็ถามฉันว่าแล้วเธอหละ...อยากจะเป็นอะไร ฉันตอบคุณครูว่า หนูอยากเป็นครูอยากให้ความรู้กับทุก ๆ คนค่ะ แต่ในใจฉันคิดอยู่ว่าการที่จะเป็นครูได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องงายเลย ฝันจะเป็นจริงได้มันก็ต้องเรียนให้สูง ๆ สิ มันดูเหมือนเป็นความฝันที่ไกลริบหรี่เหลือเกินเมื่อดูจากสถานะเศรษฐกิจของครอบครัวของฉัน แต่ก็เป็นความฝันที่ฉันตั้งใจจะทำให้มันสำเร็จให้ได้ แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาก็ตาม 
    ครอบครัวของฉันมีพี่น้อง 5 คน ฉันเป็นลูกคนที่ 4 ของพ่อแม่ สมัยเด็ก ๆ คนแถวนั้นก็จะเรียกฉันจนติดปากว่าไอ้จ่อย ซึ่งเป็นภาษาอีสาน แปลว่าไอ้ผอม เพราะว่าฉันผอมมาก พี่ชายคนโตเรียนจบชั้นมัธยมตอนปลายก็เข้ากรุงเทพฯ หางานทำ ส่วนพี่ชายคนที่สองก็เรียนแค่มัธยมตอนต้นก็ไม่เรียนต่อ เขาอยากทำงานมากกว่า แต่ต่อมาเขาก็เรียนจนจบปริญญาตรี ส่วนพี่ชายคนที่สามเขาเก่งกีฬาพอจบมัธยมปลายเขาก็มีโรงเรียนทหารอากาศรับรอง ปัจจุบันรับราชการทหาร และน้องสาวฝาแฝดของฉันเขาก็พยายามเรียนให้จบมัธยมตอนปลายหลังจากที่เขาทำงานมาหลายปี 
 เมื่อตอนใกล้จะจบชั้นประถมปีที่ 6 ฉันรู้สึกตื้นเต้นและกระตือรื้อร้นมาก ฉันเตรียมชุดนักเรียนเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าสมัครเรียนในชั้นมัธยมตอนต้น ส่วนน้องสาวฉันเขาเตรียมตัวที่จะไปทำงานที่กรุงเทพฯ ในตอนนั้นเขาไม่อยากเรียนต่อ เขาบอกว่าหางานทำดีกว่า ส่วนฉันก็ยังมีความตั้งใจเดิมอยู่ ฉันบอกแม่ว่าฉันจะไปสมัครเรียนต่อ แต่คำตอบที่ฉันได้ยินมันเหมือนกับฟ้าผ่าเข้ามากลางอกของฉัน แม่บอกว่า..แม่ไม่มีเงินส่งให้ลูกเรียนนะ.. อย่าเรียนเลย ไปทำงานกับญาติที่กรุงเทพฯ ดีไหม ฉันรู้สึกน้อยใจมากเมื่อแม่ให้คำตอบแบบนี้กับฉัน ฉันถามแม่ว่าทำไมพี่เขาได้เรียน แล้วหนูทำไมไม่ได้เรียนต่อ แม่เงียบไปพักหนึ่ง..แล้วก็ตอบฉันว่า..แม่อยากให้ลูกทุกคนเรียนสูง ๆ แต่แม่ไม่มีเงินมากพอส่งให้ลูกทุกคนเรียนสูง ๆ เมื่อได้คำตอบอย่างนั้นมันทำให้ฉันเข้าใจแม่มากขึ้น และฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากทำตามที่แม่บอก และยังมุ่งมั่นว่าจะต้องทำให้ฝันของตัวเองเป็นจริงให้ได้ 
 ตอนนั้นฉันเพิ่งจบชั้นประถมศึกษา อายุ 12 ย่างเข้า 13 ปี ฉันคิดว่าจะมีงานอะไรให้ฉันทำเหรอ ฉันก็ต้องพึ่งญาติที่กรุงเทพฯ ช่วยหางานให้ ฉันเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกับกระเป่าเก่า ๆ ที่มีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ตัว ฉันได้ทำงานที่โรงงานเล็ก ๆ ทำพวกเครื่องเทศ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวนนทบุรี ในสมัยนั้นเงินเดือน ๆ ละ 800 บาท แต่มันก็ดูมากพอสำหรับฉัน ทำอยู่ที่นี่ได้เกือบปีฉันก็เปลี่ยนไปทำงานโรงงานทอผ้ากับน้องสาว ฉันทำงานที่กรุงเทพฯ ได้เกือบสองปี ก็ตัดสินใจกลับบ้านเพื่อสานฝันให้เป็นจริง 
 ฉันเริ่มต้นด้วยการสมัครเรียนที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน เพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่ฉันจะไม่ต้องเสียเวลามาก และภายในเทอมเดียวฉันต้องสอบเทียบให้จบมัธยมตอนต้นให้ได้ มันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากสำหรับฉันในเวลานั้น แต่ท้ายที่สุดฉันก็ทำมันได้ หลังจากนั้นก็เลือกสอบเข้าโรงเรียนที่ใกล้บ้านที่สุด ชีวิตในโรงเรียนที่ฉันใฝ่ฝันก็เริ่มขึ้น มีเพื่อนสมัยตอนเรียนชั้นประถมศึกษาบางคนก็ยังเรียนอยู่ที่เดียวกันกับฉัน แต่ว่าเขาเรียนอีกแค่ปีเดียวก็จะจบแล้ว ส่วนฉันยังต้องเรียนอีก 3 ปี เพื่อนบ้านหลายคนถามฉันว่าไม่รู้สึกอายเพื่อนเหรอเพิ่งมาเรียน เพื่อน ๆ เขาจะเรียนจบกันแล้วไม่ใช่เหรอ... ฉันก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้น ฉันคิดว่าการเรียนเราเรียนมันทั้งชีวิต ถ้าหยุดเรียนเมื่อไหร่นั่นหมายถึงลมหายใจได้หมดลงแล้ว 
 ฉันเรียนอยู่ที่นั่นฉันไม่ใช่นักเรียนที่เรียนเก่ง แต่ฉันเป็นนักเรียนดีเด่น สายที่ฉันเลือกเรียนคือสายภาษา-สังคม ฉันชอบเรียนภาษามากกว่าคณิตศาสตร์ และคะแนนภาษาอังกฤษของฉันดีเกือบทุกเทอม แต่คณิตศาสร์แย่มากต้องสอบซ่อมอยู่บ่อย ๆ สามปีที่อยู่ที่นี่มันทำให้ฉันเติมโตขึ้นมาก ทำให้ฉันเรียนรู้หลาย ๆ อย่าง มันทำให้ฉันได้มีชีวิตในวัยที่ฉันควรจะเป็น มันเหมือนเติมแต่งสิ่งที่ขาดหายไปในวัยเด็กให้เติมเต็ม ฉันชอบเล่นกีฬามากที่สุด เพราะฉะนั้นฉันจะถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันกีฬา ปีสุดท้ายฉันได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬาดีเด่นของโรงเรียน ทำให้ฉันภูมิใจมาก ฉันจบจากที่นี่ด้วยความภาคภูมิใจ
 เมื่อฉันนึกถึงปริญญาตรีคำนี้ ฉันรู้สึกมันใกล้ตัวฉันเข้ามาทุกที เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ฉันก็ต้องกลับไปกรุงเทพฯ อีกครั้งเพื่อสมัครปริญญาตรี ฉันเลือกเรียนในมหาลัยแห่งหนึ่งที่ฉันสามารถทำงานไปด้วยและก็เรียนไปด้วยได้ เพราะภาระที่หนักอึ้งนี้ฉันจะต้องแบกมันเอง แต่ฉันก็พร้อมที่แบกภาระนี้ด้วยตัวฉันเอง ถึงแม้ว่าในวันข้างหน้าจะต้องเผชิญและพบกับความยากลำบากก็ตาม ฉันรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งที่อยู่ในตัวฉันนั้นมันมากขึ้นและก็มากขึ้น และทำให้ฉันพร้อมที่จะก้าวต่อไป ฉันเริ่มทำงานเป็นพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง งานของฉันก็คือขายโสมเกาหลีอิลวา ซึ่งพี่ชายคนที่สองของฉันเขาเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด เขาฝากฉันให้เข้าทำงานที่นั่น มันก็ไม่ง่ายเลยนะสำหรับผู้หญิงตัวเล็กอย่างฉัน กับเป้าหมายที่ฉันให้ไว้กับตัวเองว่าจะต้องเรียนให้จบภายใน 4 ปีให้ได้ แต่สุดท้ายฉันก็เรียนจบล่าช้าไปครึ่งปี ฉันบอกกับตัวเองว่า ไม่เป็นไร เพราะว่าฉันก็ทำได้แล้ว...
เมื่อฉันนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน เหมือนกับพระเจ้ารู้ถึงอนาคตข้างหน้าของฉัน ว่าฉันจะต้องไปอยู่แดนไกล เหมือนกับฝึกให้ฉันเข้มแข็งและอดทนอย่างไรอย่างนั้น เหมือนกับรู้ว่าสามีในอนาคตของฉันเป็นคนต่างแดน
 ฉันรู้จักโบสถ์แห่งความสามัคคี เมื่อตอนที่ฉันเรียนอยู่มัธยมศึกษาตอนปลาย โดยผ่านการแนะนำจากพี่ชายคนที่สองของฉันเอง วันเวลานานเข้าก็ทำให้ฉันได้รู้จักและคุ้นเคยกับโบสถ์มากขึ้น ท่านสาธุคุณซัน เมียงมูน ท่านเป็นชาวเกาหลีซึ่งเป็นผู้นำโบสถ์แห่งความสามัคคีนี้ และท่านก็เป็นผู้ที่เลือกสามีที่ดีที่สุดสำหรับฉัน เราคบกัน 5 ปีฉันก็ตัดสินใจแต่งงานมาไต้หวัน 
 ปลายปี ค.ศ. 2000 ในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง สายการบินจากประเทศไทยก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่ไต้หวัน ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ฉันมาไต้หวันและเป็นครั้งที่ฉันจะต้องอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไปประเทศไทย เมื่อนึกถึงวันข้างหน้ากับภาษาและวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคยนี้ ก็ทำให้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที อันดับแรกฉันจะต้องทำอย่างไรดี จะปรับตัวอย่างไรก่อนดี ความวุ่นวายภายในใจก็เกิดขึ้น รู้สึกว่าตัวเองกำลังก้าวเข้าสู่สนามรบ ที่ไม่รู้ว่าจะชนะหรือปราชัย
วันใหม่กับชีวิตใหม่ก็ได้เริ่มขึ้น ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา อาหารการกิน การปรับตัวให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมของคนไต้หวัน ที่สำคัญที่สุดคือการปรับตัวให้เข้ากับสามีสุดที่รักของฉัน มันไม่ง่ายเลยนะ จากคนที่มาจากต่างวัฒนธรรม ต่างภาษาที่จะทำตัวให้เข้ากันได้ดีในเวลาอันสั้น 
อยู่ไต้หวันได้เกือบปี ฉันเริ่มวางแผนให้กับตัวเองอย่างเป็นขั้นตอน อันดับแรกกับภาษาจีนที่ไม่เอาไหน ฉันคิดว่าถ้าตัวเองไม่เข้าใจภาษา ก็จะทำให้ไม่เข้าใจประเพณี วัฒนธรรมและคนของประเทศนั้น ๆ ในตอนนั้นฉันไม่สามารถสื่อสารกับคนทั่วไปได้ ไปซื้อของข้างนอกถ้าไม่มีสามีไปด้วยก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ต้องใช้ภาษาท่าทาง และถ้ากลับไปบ้านพ่อแม่สามี ฉันรู้สึกว่าตัวเองอยู่คนละโลกกับพวกเขา พูดคุยกับพวกเขาไม่รู้เรื่อง และก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูด ฉันรู้สึกอึดอัดและยากลำบากมาก ฉันก็เลยตัดสินใจไปสมัครเรียนที่โรงเรียนภาคค่ำแห่งหนึ่ง หลังจาก 3 ปีที่เรียนจบจากโรงเรียนประถม ฉันก็ไปสมัครเรียนต่อมัธยมต้น นักเรียนของที่นี่มีแต่คนไต้หวันเกือบทั้งนั้น มีทั้งคุณตาคุณยายที่อายุมากแล้วก็ยังมาเรียน มีชาวต่างชาติอยู่เพียงไม่กี่คน ช่วงนี้ชีวิตของฉันเริ่มมีรสชาติมากขึ้น เพราะเรียนไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย แล้วยังเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางโรงเรียนและหน่วยงานของรัฐจัดขึ้น ในช่วง 3 ปีนี้ที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ฉันพัฒนาตัวเองมากขึ้น มองโลกกว้างขึ้น และไม่ว่าด้านภาษา ความคิดและทัศคติต่าง ๆ ที่ฉันมีต่อคนไต้หวัน ในเริ่มแรกที่ฉันคิดว่าคนไต้หวันมีจิตใจที่คับแคบ ไม่ค่อยจริงใจ และเป็นคนขี้หวาดระแวงไม่ไว้วางใจใคร แต่เมื่อฉันได้คลุกคลีกับพวกเขาแล้ว ทำให้ฉันรู้ว่านั่นเป็นเพราะว่า เราเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกันมาก่อน ทำให้เรามีช่องว่างระว่างกันและกัน จึงทำให้ตัวฉันรู้สึกแบบนี้ต่อพวกเขา 
ตอนนี้ลูก ๆ ของฉันก็เข้าเรียนกันหมด ช่วงกลางวันฉันก็เริ่มพอมีเวลาว่าง อยากหางานทำ แต่โรงเรียนประถมที่ไต้หวัน บางวันเด็กเรียนแค่ครึ่งวัน ซึ่งไม่เหมือนที่ประเทศไทยที่วันจันทร์ถึงศุกร์เด็ก ๆ เรียนเต็มวัน หลาย ๆ คนบอกว่าหลังเลิกเรียนก็ส่งไปสถาบันกวดวิชาซิ.. จะได้ทำงานได้ แต่สำหรับฉันและสามีของฉันแล้วเราไม่เคยคิดว่าอยากส่งลูกไปที่สถาบันกวดวิชา อยากดูแลเองมากกว่า เลยคิดว่างานอะไรจะเหมาะกับฉัน แต่เหมือนพระเจ้ารู้ใจ ก็มีครอบครัวไต้หวันครอบครัวหนึ่ง ซึ่งพวกเราเป็นคนรู้จักและคุ้นเคยกันดี พวกเขาต้องการให้ฉันช่วยดูแลลูกให้กับพวกเขา ฉันตอบตกลงเพราะว่าในเวลาเดียวกันก็สามารถดูแลลูก ๆ ได้ด้วย ต่อมาไม่นานฉันได้รู้จักกับหัวหน้าบรรณาธิการหนังสือพิมพ์สี่ฝั่ง วันนั้นเป็นวันรับใบประกาศนียบัตรของครอสเรียนทำอาหารจีนสำหรับคู่สมรสต่างชาติในไต้หวัน เขาเข้ามาทักทายฉันด้วยท่าทางที่เป็นกันเอง ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นคนโอบอ้อมอารีและเป็นกันเอง เขาถามฉันว่าเป็นคนชาติไหน ฉันตอบว่าเป็นคนไทย ดูเขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าฉันเป็นคนไทย หลังจากนั้นเราก็แลกเบอร์โทรกัน ผ่านไปไม่กี่วันเขาก็โทรมาหาฉันขอให้ฉันเข้าไปช่วยงานหนังสือพิมพ์ ฉันคิดว่านี้คือพระพรจากพระเจ้า ที่ฉันจะได้ทำหนังสือพิมพ์ภาษาไทยให้กับคนไทยที่อยู่ในไต้หวันได้รู้ข่าวสารต่าง ๆ นี่ก็เป็นเวลาหลายปีที่ฉันเรียนจบปริญาตรี สื่อสารมวลชนมา ฉันยังไม่เคยเอาวิชาพวกนั้นออกมาใช้เลย นี่เป็นโอกาสของฉันที่ฉันจะใช้มัน แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด จากที่คิดว่าตัวเองเก่ง พูดคุยกับคนทั่วไปได้อย่างไม่มีปัญหา แต่มาใช้กับงานนี้มันทำให้ฉันคิดว่าภาษาจีนของฉันเหมือนเด็กอนุบาลเลย ต้องพยายามอีกมาก แต่ฉันก็ไม่เคยย่อท้อ คนเราเมื่อมีความพยายามความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกล ฉันบอกกับตัวเองว่าต้องสู้นะ อย่ายอมแพ้ และต้องทำให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลาย ๆ คนถามฉันว่า ฉันทำอะไรหลาย ๆ อย่างในขณะเดียวกันได้อย่างไร ไหนต้องดูแลเด็ก ๆ ทำงานหนังสือพิมพ์ และยังเป็นครูสอนภาษาไทยอีก พวกเขาทึ่งในตัวฉัน เพราะว่าถ้าเป็นพวกเขาแล้วคงทำไม่ได้แน่นอน ฉันตอบพวกเขาว่า งานทุกอย่างฉันทำด้วยใจและถ้าฉันตัดสินใจทำแล้วฉันจะทำให้ดีที่สุด และสุดความสามารถของฉัน 
นี่ก็ 12 ปีกว่าแล้วที่ฉันอยู่ที่ไต้หวัน ฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ตลอดระยะเวลาฉันคิดอยู่เสมอว่า ไต้หวันเป็นประเทศที่สองของฉัน ฉันจะต้องไม่ทำตัวเองให้เป็นขยะกับคนรอบข้างและก็ประเทศนี้ ฉันคิดว่าฉันจะรักประเทศนี้และรักคนของประเทศนี้ได้อย่างไร และจะตอบแทนบุญคุณของประเทศนี้ได้อย่างไร มันอาจจะเป็นความคิดที่ดูไกลเกินขอบเขต หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าเพ้อเจ้อไปหรือเปล่า ไม่เลยฉันไม่ได้เพ้อเจ้อ และฉันก็ได้พยายามด้วยตัวฉันมาตลอด เวลาที่ฉันเดินเคียงข้างสามีไปไหนต่อไหนด้วยกัน เพื่อน ๆ และคนรู้จักกันเข้าจะชมเราสองคนอยู่เสมอว่า คู่รักคู่แท้ และพูดว่าดูเธอสองคนรักกันมากเลย น่าอิจฉาจัง เหมือนไม่เคยทะเลาะกันเลย ฉันตอบพวกเขาไปว่า เมื่อก่อนเราทะเลาะกันบ่อย แต่เราสองคนยอมแก้ไขและปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอเพื่อฝ่ายตรงข้าม ตอนนี้อะไรหลาย ๆ อย่างเราเข้ากันได้ดีแล้ว ก็เลยไม่รู้จะทะเลาะอะไรกัน นี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะตอบแทนคืนให้กับประเทศนี้ ก็คือการกลายเป็น บุคคลและครอบครัวที่มีคุณภาพต่อประเทศนี้ สิ่งนี้ฉันไม่ได้เสแสร้งหรือแกล้งทำ มันออกมาจากใจจริงของฉัน ฉันคิดว่าตัวเองผ่านมาได้ครึ่งทางแล้ว และจะสู้ต่อไป 

พระเจ้ารู้ถึงอนาคตของฉัน พระเจ้าฝึกให้ฉันแข้มแข็งและอดทน ทำให้ฉันใช้ชีวิตในประเทศนี้ได้อย่างภาคภูมิใจและมีคุณค่า ทำให้ชีวิตในไต้หวันของฉันราบรื่นและมีความสุข ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณไต้หวัน ฉันรักไต้หวัน