เพื่อรอยยิ้มของพ่อและแม่



2014-05-27 / อมรรัตน์  ผิวขาว / เพื่อรอยยิ้มของพ่อและแม่ / ไทย 泰國 / ไม่มี


                      เพื่อรอยยิ้มของพ่อและแม่
 
            ครบครังหนึ่งที่มีพ่อเป็นชาวนาชาวสวน แม่เป็นแม่ค้าขายขนมหวาน ฉันเป็นลูกคนสุดท้อง มีพี่สาวอีกสองคน ชีวิตรในวัยเด็กของพวกเราถือว่าลำบาก การศึกษาก็ไม่ได้เรียนสูงเหมือนคนอื่นเขา   ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่าง  พี่สาวคนโตไม่ทันเรียนจบก็ต้องออกมาช่วยทำงาน ส่วนฉันกับพี่สาวคนที่สองห่างกันหกปี พอพี่เรียนจบพี่ทั้งสองก็พากันออกไปทำงานต่างจังหวัด เหลื่อแต่ฉันต้องช่วยพ่อและแม่ ทำงานทุกอย่าง
            เสียงระฆังของโรงเรียนดังขึ้น  ฉันต้องรีบปันจักยากลับบ้าน รีบมาช่วยแม่ทำขนม ฉันยังเด็กมากที่ช่วยได้คือ ช่วยแม่ตำใบเตย เพื่อค้ันเอาน้ำมาทำสีและกลิ่นของขนม ช่วยแม่กวนขนมตอนที่ยังไม่เหนียว  ช่วยทุกอย่างที่พอจะทำได้ ทำแบบนี้ทุกวันไม่มีเวลาได้ออกไปเที่ยวเล่น วันหยุดก็ไปช่วยพ่อที่สวน ปลูกผัก  ถอนหญ้า รดน้ำ ถึงแม้งานจะเหนื่อยแต่มีความสูขดี ได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก มันมีความสูขที่ไม่มีวันจะลืมได้เลย พอฉันเรียนจบประถม พ่อแม่และพี่สาวอยากให้ฉันเรียนต่อ แต่ฉันไม่อยากจะเรียน ฉันอยากทำงานมากกว่า เพราะรู้ดีว่าทางบ้านก็ลำบาก ทุกคนอยากให้ฉันเรียน จะได้มีความรู้มีงานทำที่ดี และฉันตัดสินใจเลือกเรียนการศึกษานอกโรงเรียน  และจะได้มีเวลาทำงาน  ความรู้น้อยงานที่ทำก็มีแต่ไปรับจ้าง ช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว ทุ่งนาเริ่มลงมือเกี่ยวข้าว ฉันไปรับจ้างเกี่ยวข้าว ซ้ายและขวามีแม่และยายคอยช่วยเกี่ยวตอนที่ตามไม่ทัน ส่วนค่าแรงก็ยังได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เจ้าของนาบางที่เขาใจดีเห็นฉันตั้งใจทำงาน ให้ค่าแรงเท่ากับทุกคน ฉันดีใจมาก เกี่ยวข้าวมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ก้มตัวทั้วัน พอเช้ามาแทบจะลุกไม่ขึ้น แต่เพื่ออยากช่วยแบ่งเบาภาระ ฉันต้องอดทนต้องทำให้ได้ เงินที่ได้มาแม่ไม่เคยเอาเลยสักบาท บอกให้เก็บไว้ซื้อของที่จำเป็น แม่สอนให้ฉันเป็นคนประหยัด เงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของฉันเอง  มันรู้ศึกภูมิใจมาก
       หมดงานรับจ้าง ฉันเเละแม่พากันทำขนมขาย แม่ขายขนมในตลาดเช้ามืด  ต้องตื่นประมาณตี1ตี2 ขายส่งมีแม่ค้ามารับไปขายอีกต่อ ฉันต้องตื่นแต่เช้าเอาแม่ซ้อนรถข้างหลังลากพ่วงใส่ขนมไปตลาดทุกวัน  เช้ามืดเป็นเวลาที่หลับนอนสบาย เสียงของแม่ ตื่นๆๆเตียมตัวได้แล้ว ลุกนั่งแต่ตายังไม่ลืมขึ้นแล้วล้มตัวนอนอีก ครั้งที่สองแม่บอกไม่ทั้นแล้วสายมาก ทำให้ลุกวิ่งเเจ้น เวลาไปสายไม่ทันแม่ค้าขนมจะขายไม่หมด เหมือนสอนให้ฉันต้องเป็นคนตรงต่อเวลา  7โมงเช้าเก็บของกลับมาบ้าน กินข้าวกินปลา แล้วแยกย้ายไปพักผ่อน ตอนเที่ยงก็ต้องตื่นมาเตรียมของทำขนมอีก  งานแต่ละวันทั้งง่วงทั้งเหนื่อย อย่างไรฉันต้องสู้ต้องอดทน แต่ก็รู้ศึกมีความสูขมากที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเเม่ พูดคุยเรื่องต่างๆนาๆความในใจของแม่ทั้งทุกข์และสูข  ถึงแม่จะไม่ได้เรียนหนังสือ แม่จะอบรมสั่งสอนให้ลูกทุกคนเป็นคนดี  อดทน เข็มเเข็ง สู้ชีวิตร  อากาศทีแสนร้อน เวลาที่ยืนทำขนมกับแม่ เม็ดเหงื่อที่ไหลย้อยคาง หยดลง เสื้อหน้าอกของแม่จนเปลียกชื้น ฉันสงสานแม่จับใจ คิดอยู่ในใจจะทำอย่างไรให้พ่อแม่ได้อยู่สูขสบาย ในช่วงหน้าฝนเวลาไปตลาดมันแสนยุ่งยาก หน้าบ้านเป็นตลึ่งชันสองแม่ลูกช่วยกันเข็นล้อพ่วงขึ้นตลึ่ง กว่าจะถึงตลาดทั้งสองทั้งเปลียกฝนทั้งเปลื้อนโคน ช่วงหน้าหนาวก็หนาวจับใจ หมอกลงหนาทิ๊บจนไม่เห็นทาง สองแม่ลูกก็ต้องฝ่ามันไปจนได้ ลูกแม่ค้าขนมลอดช่องในตลาดเช้า เป็นที่รู้จักของผู้คนมากมาย
       แล้วความฝันของฉันก็จะเป็นจริง พ่อของสามีได้ไปเที่ยวเมืองไทย อยากหาลูกสะใภ้คนไทย น้าของฉันเองทีเป็นคนติดต่อให้รู้จัก พ่อสามีเห็นครั้งแรกก็ถูกใจ ให้ผู้ใหญ่ตกลงสู่ขอ  แม่ได้ถามความรู้ศึกของฉัน ว่าอยากแต่งงานกับคนต่างชาติที่ไม่รู้จักกันก่อนใหม ใจฉันคิดแต่ว่าอยากให้พ่อแม่ได้อยู่สบายฉันยอมทุกอย่าง โดยไม่คิดถึงตัวเองเลย การที่ฉันตอบตกลงมันต้องทำให้ฉันต้องห่างจากพ่อและแม่ไปอยู่ไกลแสนไกล  คงจะเป็นบุญวาสนา ที่เจอและต้องใช้ชีวิตรอยู่ร่วมกัน ทั้งที่คุยกันไม่รู้เรื่อง ได้แต่มองยิ้มให้กัน ฉันและสามีต้องอยู่ใช้ชีวิตรร่วมกัน เป็นอะไรที่รวดเร็วมาก เวลาคุยกันต้องใช้พลิกหนังสือคนละเล่ม ผลัดเปลี่ยนสอนภาษา
         หลังจากแต่งงาน ฉันยังได้อยู่กับพ่อและแม่อีกเกื่อบ1ปี ส่วนสามี2-3เดือนก็ไปมาๆ สามีจ้างครูสอนภาษาจีน  และให้ฉันเขียนจดหมายมาหาเขา ทดสอบดูว่าฉันตั้งใจเรียนหรือเปล่า แต่ทุกครั้งต้องให้ เหล่าซือ ช่วยเเปลให้ทุกครั้ง ฉันเริ่มตั้งท้องลูกคนแรก คราวนั้นสามีกลับมาหลายเดือน ท้องโตขึ้นทุกวัน ชาวบ้านพากันว่าท้องไม่มีพ่อ สามีกลับไปท้องได้6-7เดือน เริ่มเดินเรื่องแต่เหมือนมีสิ่งใดมากลั่นแกล้ง ยื่นเอกสานกี่ครั้งก็ไม่ผ่าน ขาดนั้นบ้างนี่บ้าง ท้องก็เริ่มแก่ไกล้คลอด แล้วเหมือนกับโชดดีครั้งสุดท้ายเอกสานผ่าน รอวีซ่า ฉันเเละสามีดีใจมาก ขณะอยู่รอวีซ่า ฉันเกิดลื่นล้มในห้องน้ำ สามีตกใจมากห่วงฉันเเละลูกในท้อง หมอตรวจดูว่าความดันสูงมากลัวจะเป็นอันตรายต่อเด็ก เเนะนำให้ผ่าออก ฉันเลยบอกกับหมอว่าขอกลับไปเตรียมของ แต่ที่แท้ วีซ่าจะได้พอดี ได้วีซ่า แต่ก็กังวนว่าท้องแก่เขาจะไม่ให้ขึ้นเครื่อง แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีใครสังเกตเห็นท้องของฉันเลย ฉันเเละสามีก็ได้เดินทางมาพร้อมกัน  อยู่บนเครื่องฉันและสามีรู้ศึกตื่นเต้นมากกลัวว่าจะคลอดบนเครื่อง
        เครื่องได้ลงที่สนามบินเกาซุง  พี่ชายของแฟนไปรับ ระหว่างทาง ฟังการพูดคุยของพี่ชายและสามี มันไม่เหมือนที่ฉันเคยเรียนมา ฉันรู้ศึกหวั่นไหวนึกกลัวขึ้นมา มันเหมือนอยู่กันคนละโลก ถึงบ้านมีพ่อของสามีที่รอคอยการกลับมาด้วยความดีอกดีใจ ในไต้หวัน คืนนั้นมันแสนยาวนาน นอนคิดถึงทุกคนทางบ้าน คิดว่าเช้ามาต้องทำอะไรบ้าง ต้องเจอกับใคร จะพูดคุยอย่างไร    เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวัน ทำให้ฉันเผลอหลับไป สดุ้งตื่นตอนไกล้สว่าง  จากที่เคยได้ยินเสียงนกร้อง เสียงไก่ขัน มันกลับกลายเป็นเสียงรถ รถไฟ เครื่องบิน  เช้าวันใหม่ฉันได้เจอกับแม่สามี ที่ทำอาหารเช้าอยู่ ท่านยิ้มให้อย่างเป็นมิตร รีบตักอาหารที่ทำให้ฉันกิน  ม่าม้าพูดมากมายแต่ฉันฟังไม่ออกเลยสักคำ ม่าม้าพูดภาษาพื้นบ้าน(台語)ฉันต้องปรับตัวอีกมาก ทั้งภาษา อาหารการกิน ที่สำคัญคือการปรับตัวให้เข้ากับคนในครอบครัว ที่บ้านเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกคนจะพูดจีนกลางกับฉัน
       อยู่ไดประมาณ1 อาทิตย์ ฉันได้คลอดลูกคนโต ขนะอยู่ไฟ อาหารทุกอย่างก็เปลี่ยน จากทีเคยกินรสจัดก็ต้องเปลี่ยนแบบจืดๆๆ ไก่ต้มน้ำมันงา ที่คนอยู่ไฟต้องได้กินตลอดทั้งเดือน ฉันไม่ชินกับอาหารพวกนี้ แต่เป็นความตั้งใจของม่าม้าที่จัดเตรียมให้ ฉันต้องพยายามกินมันให้ได้  เพื่อจะไม่ให้เสียความตั้งใจของม่าม้า
ฉันเลี้ยงลูกและช่วยทำกับข้าว ทำงานบ้าน ที่บ้านถึงแม้จะอยู่รวมกันเยอะ พอกินข้าวอิ่มแยกย้ายต่างคนต่างอยู่  ฉันเหมือนอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนคุย ไม่ได้ออกไปไหน มันไม่เหมือนตอนอยู่ที่บ้านเรามีแม่ที่คอยพูดคุย รับฟังเรื่องต่างๆนาๆ ฉันคิดถึงบ้านคิดถึงพ่อและแม่  ความอัดอั้นในใจ ที่อยากจะบอกเล่าให้แม่ฟัง แต่พอได้คุยกับแม่จริงฉันกับไม่บอกเพราะกลัว่าท่านทั้งสองจะเป็นห่วง  มีแต่บอกกับตัวเองเสมอว่าต้องอดทน  เพื่อครอบครัวที่อบอุ่น ตอนนั้นน้ำตามันเป็นเพื่อนยามที่ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ  พอลูกโตฉันได้ออกไปจ่ายตลาดกับพี่สะใภ้  ฉันเหมือนคนแปลก มีแต่คนมอง บ้างคนเรียกเสียงดัง(泰國啊  台語)ทุกคนในตลาดมองกันใหญ่  ฉันรู้ศึกอายมาก แต่พอนานไปมันก้อชิน ทุกคนอยากพูดคุยแต่ฉันฟังไม่รู้ภาษาพื้นบ้าน แต่มันก็เป็นโอกาศที่ดีทีฉันจะได้เรียนรู้ภาษาพื้นบ้าน และฉันได้สมักเรียนภาคค่ำ มีเพื่อนต่างประเทศไม่กี่คน ส่วนมากจะเป็นคุณตาคุณยาย พวกเขาใจดี ชอบมาพูดคุยด้วย ทำให้ฉันกล้าพูดภาษาพื้นบ้าน ฉันพัฒนาตัวเองมากขึ้น มองโลกให้กว้างขึ้น ไขว่คว้าด้านภาษา
       ฉันสนุกกับการเรียน เวลาที่ลูกหลับ จะมีเวลาอ่านหนังสือเขียนการบ้าน เรียบจบประถมครูเเนาะนำให้เรียนต่อมัธยมต้น  ลูกไปเรียนฉันอยากทำงาน แต่พ่อสามีไม่ให้ไป บอกดูแลลูกให้ดี ส่วนแม่ของฉันก็บอกรอให้ลูกโตอีกหน่อย  ไม่นานครอบครัวของพี่ชายแยกย้ายออกไปอยู่ที่อื่น พ่อและแม่สามีอยู่กับพวกฉัน ฉันต้องเตรียมกับข้าวดูแลท่านทั้งสอง ทุกอย่างฉันต้องเรียนรู้วัฒนธรรม  ประเพณีของคนไต้หวัน และทุกๆเทศการ  และทุกๆปีตรุจีนวันที่2 เป็นวันที่ลูกสาวกลับบ้านทานข้าว พร้อมครอบครัว
ฉันรู้ศึกน้อยใจ เป็นคนด่างแดนไม่มีโอกาศจะได้กลับเหมือนคนที่นี่ ทีแรกความรู้ศึกนี้นึกว่าเป็นเฉพาะฉันคนเดียว  แต่ยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่มีความรู้ศึกเช่นเดียวกัน พวกฉันเลยจัดเอาวันนี้ทำอาหารมากินรวมกัน ถึงแม้จะไม่ได้กลับบ้าน  ฉันเป็นคนชอบเรียนรู้
ทั้งเรื่องอาหารงานฝือมือ  มีโอกาศเมื่อไหร่ฉันก็ไปสมักเรียน ที่ทางรัฐจัดขึ้น และหน่วยงานต่างๆ 農會ฉันสมักเรียน ทำอาหารจีน ขนมปัง เย็บปักถักร้อย ฉันตั้งใจเรียนครูจะชอบฉันมาก และทุกอย่างที่เรียนต้องมีการสอบ  เพื่อนที่เรียนด้วยกันกลัวว่าฉันจะสอบข้อเขียนไม่ผ่าน ช่วยติวให้ฉันเสมอ ทุกคนดีกับฉันมาก แต่ก็มีอยู่บางส่วนที่เห็นฉันเป็นคนต่างจากพวกเขา ก็แล้วแต่ที่พวกเขาจะคิด
ส่วนฉันคิดว่าได้ทำในสิ่งทีดีทีสุด
        ที่นี่ก็เป็นเหมือนบ้านที่สองของฉัน  ฉันจะทำตัวให้มีประโยชน์  การที่เราเป็นคนต่างแดน อาจเป็นจุดเด่น มันก้ออยู่ที่การว่างตัวของเรา ปรับตัวให้เข้ากับคนที่นี่ และคงมีอีกหลายหน่วยงาน ที่คอยดูแลช่วยเหลือ ผู้ย้ายถื่นเหมือนพวกฉัน ทั้งข่าวสาน四方報 ความช่วยเหลือต่างๆ และในปีนี้ฉันได้รับความช่วเหลือ ทีจะพาลูกกลับบ้านตอนช่วงปิดเทอม 搖到外婆橋的活動และความช่วยเหลือจากครูที่โรงเรียน มีโอกาศได้พาลูกๆกลับไปเยี่่ยมพ่อและแม่  การที่ฉันได้ตัดสินใจแต่งงานมาไต้หวัน  ถึงมันจะช่วยทางบ้านใด้ไม่มาก การที่ฉันมีครอบครัวที่อบอุ่น มันเป็นสิ่งที่พ่อและแม่ฉันหวังเป็นอย่างมาก
เงินทองมากมายก็ไมาอาจซื้อความสููขแบบนี้ได้  ความรักของพ่อและแม่ เป็นกำลังใจให้ฉันสู้เสมอ เพื่อที่จะเห็นรอยยิ้มของท่านทั้งสอง"


評審評語:
เพื่อรอยยิ้มของพ่อและแม่
สาเหตุที่เลือกผลงานชิ้นนี้ เนื่องจากหัวข้อเรื่องและเนื้อเรื่องมีแรงดึงดูดใจมากเป็นพิเศษ ผู้เขียนได้เล่าบรรยายถึงชีวิตในวัยเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสืออย่างเต็มที่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ  เพราะทุกวันหลังเลิกเรียนแล้ว ต้องรีบกลับมาบ้านช่วยงานคุณพ่อคุณแม่ ทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัวโดยไม่กลัวยากความลำบาก แม้แต่การตัดสินใจแต่งงานมาอยู่ไต้หวันก็เพื่อคุณพ่อคุณแม่จะได้มีเงินใช้ไม่ลำบาก พอมาอยู่ในไต้หวันแล้ว ผู้เขียนก็ใช้ความเพียรพยายามในการเรียนรู้ภาษาวัฒนธรรม และปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวของสามีและสังคมใหม่ในไต้หวันได้เป็นอย่างดี  ความขยันขันแข็ง  ความกตัญญูต่อพ่อแม่ของผู้เขียนเป็นสิ่งที่น่ายกย่องมาก